Breaking News

พาชมฟาร์ม อัลปาก้า แห่งแรกของเมืองไทย

พอช่วงฤดูหนาว ทุกคนต่างหาที่ท่องเที่ยว ที่ได้ซึมซับบรรยากาศ
แห่งความ หนาว และ ชมธรรมชาติอันแสนงามของเมืองไทย
แต่อั้ม ขอเลือกเที่ยวหน้าฝน เพราะไม่ชอบ ที่คนเยอะ ๆ แย่งกินแย่งเที่ยว
แย่งกันถ่ายรูป วันนี้ได้มีโอกาสไป เที่ยว "สวนผึ้ง" ในฤดูฝน ฝนตกทั้งวัน
เลยคะ แทบไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่รีสอร์ท
ตอนกลางคืน ก็ไฟดับอีก เศร้าระบมเจ็บไปถึงไส้ติ่ง 
เนื่องจากอั้มไปเที่ยวในวันอาทิตย์ที่ 28 ก.ค. 56 ทางฟาร์มอัลปาก้า
เขาก็ให้บริการเฉพาะ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เท่านั้นด้วยสิ ไปถึงที่
ฟาร์มก็ปาเข้าไป 17.25 น. แล้วคะ แต่ฟาร์มปิด 18.00 น. เพื่อไม่ให้
เสียเที่ยว ยังไงก็ขอเข้าหน่อยแล้วกัน เลยแวะ ไปเก็บภาพที่ฟาร์ม อัลปาก้า 
ซึ่งมีแห่งเดียวในประเทศไทยมาฝากคะ

ก่อนอื่นเราก็มาทำความรู้จักกับ อัลปาก้า กันก่อนนะคะ

ตั้งแต่ครั้งอดีต เทือกเขาแอนเดสในอเมริกาใต้นั้นเป็นบ้านของอัลปาก้า ชาวอินคานิยมนำขนของพวกมันมาใช้งาน 
(เรียกกันว่า "เส้นใยจากพระเจ้า" และฝูงอัลปาก้าอาศัยอยู่กระจัดกระจายในบริเวณเชิงเขาและทุ่งหญ้า 
ในศตวรรษที่ 17 ผู้บุกรุกชาวสเปนเข่นฆ่าชาวอินคาและอัลปาก้าจำนวนมาก 
ทำให้ตัวที่เหลืออยู่รอดหลบหนีไปอยู่ในภูเขาสูงที่เรียกกันว่า อัลติพลาโน เนื่องจากความสูงและภูมิประเทศ 
ทำให้ตัวที่แข็งแรงที่สุดเท่านั้นที่อยู่รอด และพวกเขาได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษของสายพันธู์ที่ดีที่สุด 
ซึ่งมีความทนทาน และให้เส้นใยที่มีความหนาแน่นและมีคุณภาพสูง

ประเทศเปรู โบลิเวีย และชิลี ยังมีอัลปากาอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก 
นักเพาะพันธุ์อัลปาก้าจากทั่วโลกต่างเรียนรู้วิธีจากชาวอเมริกาใต้ 
อัลปาก้าเป็นสัตว์ในตระกูลอูฐ ซึ่งครอบคลุมถึงอูฐหนอกเดียว อูฐสองหนอก ลา สัตว์จำพวกเคี้ยวเอื้อง 
และกัวนาโค เขากินอาหารโดยใช้วิธีเคี้ยวเอื้องคล้ายวัว แต่มีสามกระเพาะ 
แทนที่จะมีสี่กระเพาะเหมือนสัตว์เคี้ยวเอื้องทั่วไป 
อัลปาก้าเป็นสัตว์กินหญ้าตามทุ่งหญ้าและหญ้าแห้ง ทำให้การให้อาหารมีต้นทุนไม่สูง 
การให้แร่ธาตุเสริมในแต่ละวันก็เพียงพอ

อัลปาก้ามีสองชนิด ได้แก่ suri และ huacaya ซึ่ง suri จะให้เส้นใยที่ยาวและนุ่มเหมือนเส้นไหม 
มีลักษณะเหมือนเส้นดินสอ ส่วน huacaya ให้เส้นใยที่สั้น หนาแน่น เหมือนขนแกะ 
ให้ความรู้สึกเหมือนผ้าขนสัตว์



   อัลปาก้ามีเท้าที่อ่อนนุ่ม ทำให้ไม่ทำลายทุ่งหญ้า อัลปาก้าไม่มีฟันด้านบน 
ส่วนสูงโดยเฉลี่ยคือ 125 เซนติเมตร และหนักระหว่าง 60 ถึง 80 กิโลกรัม 
อัลปาก้านั้นตัวเล็กและเชื่องพอที่จะสามารถเดินทางในรถกระบะ และสัมผัสกับมนุษย์ได้

อัลปาก้ามีช่วงชีวิตระหว่าง 15 ถึง 20 ปี ดังนั้นคุณสามารถเลี้ยงอัลปาก้าได้เป็นระยะเวลานาน
เขาไม่เพียงสามารถสืบพันธุ์ได้อย่างยาวนาน แต่ยังสามารถให้ขนได้ตลอดชีวิต
ทำให้การลงทุนของคุณคุ้มค่าในระยะยาว

ระยะเวลาตั้งครรภ์ของอัลปาก้าอยู่ที่ 11 ถึง 12 เดือน และให้กำเนิดลูกทีละตัว 
(ฝาแฝดจะพบได้ยากมาก) ลูกอัลปาก้าหรือที่เรียกว่า cria จะมีน้ำหนัก 7 ถึง 10 กิโลกรัม
เส้นใยจากอัลปาก้ามี 22 สีตามที่อุตสาหกรรมสิ่งทอในอเมริการับรอง และยังมีสีผสมอีกมากมาย 
อัลปาก้าสามารถตัดขนได้ปีละครั้ง ซึ่งจะได้ขนที่นุ่มและอบอุ่นครั้งละ 2 ถึง 4 กิโลกรัม 
ซึ่งมักจะกลายเป็นเครื่องประดับที่หรูหราที่สุดในโลก ใครๆ ก็สามารถเลี้ยงอัลปาก้าได้








ที่ฟาร์มแห่งนี้ เปิด เปิดเข้าชมเฉพาะ วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์



เมื่อเราขับรถมาเที่ยวสวนผึ้ง เราต้องผ่านอำเภอสวนผึ้งมาก่อน ส่วนฟาร์ม
จะอยู่เกือบสุดสถานที่ท่องเที่ยวของสวนผึ้งเลยคะ

ที่อยู่ : 357 หมู่ 8 ถนนผาปก-ตะโกล่าง ต.สวนผึ้ง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี 70180
พิกัด GPS: N 13.709522 E 99.203961




เมื่อมาถึงฟาร์ม จะเจอป้ายหน้าฟาร์ม เขียนว่า Alpaca Hill
เป็นจุดเด่น ติดกับรีสอร์ทแห่งหนึ่งคะ



มาชมบรรยากาศ บริเวณด้านหน้ากันก่อนนะคะ






และเราก็มาที่ ทางเข้าฟาร์มกันคะ จุดซื้อบัตรเข้าชม อยู่ที่นี่คะ


มาถึงก็รีบไปซื้อบัตรกันเลย เพราะกลัวจะไม่ทันเวลา เห็นป้ายบอกฟาร์มปิด 18.00 น.
ซื้อบัตรแล้ว ก็ขอมาถ่ายรูปด้านหน้ากันอีกสักหน่อย มาวัดความสูงกันหน่อย
ความสูงต่ำกว่า 110 CM. เข้าชมฟรี แต่เรานั้น สูงเกินไป เศร้าเลย




สำหรับเข้าชม Alpaca อั้มไปถึง 17.25 น.ทางฟาร์มก็ให้เข้าได้ปกตินะ เพราะว่าวันที่ไป
ฝนตกตลอดทั้งวัน คนมาชมอัลปาก้า ก็น้อยมาก มาเที่ยวครั้งนี้ไม่ผิดหวังจริง ๆ 
งั้นเราก็ซื้อบัตร VIP ไปเลยแล้วกัน




ก่อนอื่นก็มาดูตารางราคาบัตรกันก่อนทริปนี้ อั้มขอซื้อแค่ VIP Ticket พอคะ
ราคาเบา ๆ 290 บาทจริง ๆ ก็อยาก VIP Year Pass นะแต่ไม่รู้จะได้ไปอีกหรือป่าวนะสิ 


บัตรเข้าชมของที่นี้เก๋ดีนะคะ เป็นบัตรแข็งห้อยคอมาดูกันดีกว่า ว่าบัตร VIP Ticket ราคา 290 บาท
จะได้สิทธิพิเศษอะไรบ้าง


ก่อนอื่นเราก็ต้องรักษาสิทธิ์ ด้วยการอ่านรายละเอียดด้านหลังบัตรให้ครบถ้วน

เมื่อเสร็จจากตรงนี้ ก็จะมีพี่เลี้ยง ใช้ "วอ" เรียก รถมารับเราไปส่งที่ฟาร์ม
ระหว่างรอรถ เขาก็อธิบายวิธีการเข้าไปประชิดตัว Alpaca 
1. ห้ามลูบหัว
2. ห้ามเดินไปข้างหลัง
3. ให้ลูกเฉพาะช่วงข้าง ๆ ตัว บริเวณช่วงหน้าของ alpaca
4. ถ่ายรูปห้ามใช้ Flash
5. เวลาจะเข้าไปในฟาร์ม เราต้องใส่ถุงหุ้มรองเท้าเพื่อป้องกันเชื้อ


มาดูรายละเอียดบัตรกันคะ

ประเภทบัตรสำหรับเข้าชม


บัตรธรรมดา (190-)บัตร VIP (290-)
1.บัตรธรรมดาเข้าชมได้ 1 ครั้ง
1.บัตร VIP เข้าชมอย่างใกล้ชิด 1 ครั้ง  พร้อมสายคล้องคอ 1 เส้น (สีส้ม)
2.อยู่ในบริเวณพื้นที่ที่กำหนด(ในซุ้ม)

 2.อยู่ในพื้นที่พิเศษ สามารถเดินอยู่กับฝูงใกล้ชิดกับอัลปาก้าได้
3.น้ำดื่ม 1 ขวด

3.อาหาร 1 ชุด (สำหรับอัลปาก้า)
4.เข้าชมเป็นรอบ รอบละไม่เกิน 30นาที
 4.กรอบรูปลายอัลปาก้า 5x7" 1 ใบ

 5.ถุงผ้าลายอัลปาก้า 1 ใบ



 6.เข้าชมเป็นรอบ แต่สามารถอยู่ได้ ถึงรอบสุดท้าย 17.30น. เข้าออกได้ตลอดวัน


บัตร VIP EXPRESS (390-)บัตร YEAR PASS (500-)
1.บัตร VIP เข้าชมอย่างใกล้ชิด 2 ครั้ง/ปี  พร้อมสายคล้องคอ 1 เส้น (สีขาว)
1.บัตร VIP เข้าชมได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง  พร้อมสายคล้องคอ 1 เส้น (สีขาว)
2.อยู่ในพื้นที่พิเศษ สามารถเดินอยู่กับฝูงใกล้ชิดกับอัลปาก้าได้
 2.อยู่ในพื้นที่พิเศษ สามารถเดินอยู่กับฝูงใกล้ชิดกับอัลปาก้าได้
3.อาหาร 2 ชุด (สำหรับอัลปาก้า)
 3.อาหารไม่จำกัด (สำหรับอัลปาก้า)

 4.กรอบรูปลายอัลปาก้า 5x7" 1 ใบ

 4.กรอบรูปลายอัลปาก้า 5x7" 1 ใบ
 5.ถุงผ้าลายอัลปาก้า 1 ใบ
 5.ถุงผ้าลายอัลปาก้า 1 ใบ
5.น้ำดื่ม 1 ขวด

6.น้ำดื่ม 1 ขวด

 6.เข้าชมได้ไม่จำกัดเวลา ทุกรอบ เข้า-ออกได้ตลอดวัน
 7.ตุ๊กตาอัลปาก้า 1 ตัว
 8.เข้าชมได้ไม่จำกัดเวลา ทุกรอบ เข้า-ออกได้ตลอดวัน


ผู้สูงอายุ (อายุ 60 ปีขึ้นไป)ฟรี*
เด็ก (สูงไม่เกิน 100 เซนติเมตร)ฟรี*
นักเรียนและนักศึกษา100 บาท*
ให้อาหารเพิ่มเติม (ทุกประเภท)
3 ชุด 100 บาท

*บัตรธรรมดา เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ , เด็กเล็ก , หรือผู้ที่ไม่อยากสัมผัส หรือ ใกล้ชิดกับน้องอัลปาก้า อยู่ในบริเวณ พื้นที่ซุ้ม ชมอัลปาก้าจากระยะห่าง 3-30m
*บัตร VIP / VIP EXPRESS / YEAR PASS เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใกล้ชิด สัมผัสโอบกอด, ถ่ายภาพ ,ป้อนอาหาร น้องอัลปาก้า
*เงื่อนไขบัตรอาจมีการเปลี่ยนแปลงของรางวัลได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า


เมื่อเขาอธิบายเสร็จ พี่เขาก็จะนำทางไปขึ้นรถนะคะ


เย้ ๆ รถมารับเราแล้ว ออกเดินทางไปจับ Alpaca กันเลยคะ


พอถึงจุดจอดรถส่งเรา ก็ต้องเดินกันอีกนิดหนึ่งนร้าา มาวันนี้ฝนตกตลอด ทุลักทุเล มากมาย
ฟ้าไม่มีแสงพระอาทิตย์ให้เห็นเลย ถ่ายรูปมาได้แค่นี้จริง ๆ คะ ส่วนมากที่พอหลบฝนได้
ก็ดันเป็นหลังคามุงจาก มันไม่กันฝนสักเท่าไหร่ มันซึมลงมาตลอดเวลา 



เดินมาถึงแล้ว ดีใจจัง ได้เจอ อัลปาก้า ตัวเป็น ๆ แล้วน่ารักมากเลยอ่ะ เราว่ามันคล้าย ๆ แกะ
แต่ทรงมันเหมือนอูฐ แต่ดูท่าทางเหมือน พุเดิ้ล ไงไม่รู้นะดูมันมองสิ ทำตาแบ๋วใส่เราด้วยอ่ะ
 อยากจะวิ่งไปกอดแต่ว่า ไม่ได้น่ะ ฝนตกอยู่ พี่เขาบอกว่า ให้ใส่ถุงที่รองเท้าอีกชั้นหนึ่งก่อน


ขอลูบสักหน่อยนะ ขอทำความคุ้นเคยกับนางก่อนให้นางคุ้นกลิ่นก่อน แล้วฉันจะเข้าไปกอดให้สะใจ


ขนาดเข้าไปในฟาร์มแล้วนะ นางก็ยังไม่ให้เข้าใกล้นางง่าย ๆเราเลยต้องเอาอาหารที่ได้มาฟรี 
จากบัตร VIP ของเรามาทำให้นางคุ้นเคยก่อน พวกตัวแม่กินหมดแล้วเราก็เอามาให้ตัวลูกกินบ้าง

/// สรุปว่า คุณหลอกดาว ให้กินจนหมด
ชีก็ไม่ให้กอดเหมือนในหน้าบัตร
ที่ได้มาเลยอ่ะ (อาภาพร นครสวรรค์)


นางไม่ให้กอดแถมวิ่งหนีไปกินหญ้าซะงั้นอ่ะ
นางดูเชิด ๆ หยิ่ง ๆ นะ อย่าเข้าไปกอดด้านหลังละ
โดนนางดีด ไม่รู้ด้วยน่ะ






ข้าง ๆ ฟาร์ม alpaca เจอนกตัวนี้อยู่ดูเชื่องมากอ่ะ
เข้าไปถ่ายรูปตั้งนาน นางออกแนวลำคาญนะ แต่ก็ไม่บินหนีไปไหน



พาชมฟาร์มกระต่าย พร้อมให้แครอทเป็นอาหาร





พาชมฟาร์มจิงโจ้ พร้อมให้ขนมปังเป็นอาหาร




จิงโจ้ มีลูกน้อย ด้วยคะ 




มาชมฟาร์มแกะกันต่อ ก่อนจะเดินทางกลับคะ








สรุปเบา ๆ ของ Alpaca hill
1. มีสัตว์จำนวน 5 ชนิดให้ดู คือ
- อัลปาก้า
- กระต่าย
- กวาง  (ไม่ได้พาไปชมนะคะ พอดีฝนตก แล้วฟาร์มก็ใกล้ปิดแล้ว)
- จิงโจ้
- แกะ
2. ช่วงหน้าฝนนี้ อยู่ีในช่วงปรับปรุง ถ้ามาหน้าหนาว น่าจะได้ชมอะไรสวย ๆ กว่านี้
3. การบริการของที่นี่ดีมาก พนักงานอัธยาศัยดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ใส่ใจลูกค้าดีคะ
4. พนักงานตรงฟาร์มแกะที่เดียวคะ ที่รู้สึกไม่ค่อยรับแขก
5. อั้มว่า สถานที่ตั้งฟาร์ม ไกลไปหน่อย จากตัวเมืองสวนผึ้ง ประมาณ 30 โลเลย


จบแล้วคะ เดี๋ยวจะรีบมาอัพที่พักสุดแสนโรแมนติกให้ได้ชมกันในบล็อคถัดไปนะคะ
รัก ณ สวนผึ้ง รีสอร์ท แบบจัดเต็ม ทุกห้อง ทุกแบบ เลยคร้าาาาาาาาาาาาาาาาาาา


-----------------------------------------------------------------------------
สามารถจองตั๋วเข้าชม หรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.alpacahill.com



ไม่มีความคิดเห็น