ลำดับการใช้ครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอางค์
ลำดับการใช้ครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอางค์
ลำดับการใช้ครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอางค์
เมื่อมีครีมบำรุงผิวและเครื่องสำอางมากขึ้นคุณก็คงงง
ว่าแล้วอะไรมันควรใช้ก่อนอะไร ต้องทิ้ง
ระยะให้แห้งก่อนมั้ย แล้วถึงทาต่อ หรือยังไงอะไรดี งงไปหมด เราก็เป็นค่ะ ไม่ได้ฉลาดมาแต่เกิด
อะนะต้องขวนขวายหาความรู้ใส่หัวกันหน่อย ข้อมูลที่เราจะเขียน เราอ่านบทความมาอย่างน้อย
10 แหล่งข้อมูล ที่น่าเชื่อถือจากต่างประเทศ แล้วก็เอามา analyse ใหม่ ตามหลักจริงๆที่มัน
ควรจะเป็น อย่าหาว่ากระแดะไม่อ่านของคนไทย แต่คนไทยมักไม่ให้ข้อมูลเบื้องลึกตามหลักเหตุ
และผล ได้แต่บอกให้ทำอย่างนี้ๆ แล้วถ้าไม่ได้ทำตามบ่อยๆมันก็ลืมค่ะ เวลาจำ ใช้จำด้วยเหตุ
ผลดีกว่าจะไม่มีวันลืมเลย
ระยะให้แห้งก่อนมั้ย แล้วถึงทาต่อ หรือยังไงอะไรดี งงไปหมด เราก็เป็นค่ะ ไม่ได้ฉลาดมาแต่เกิด
อะนะต้องขวนขวายหาความรู้ใส่หัวกันหน่อย ข้อมูลที่เราจะเขียน เราอ่านบทความมาอย่างน้อย
10 แหล่งข้อมูล ที่น่าเชื่อถือจากต่างประเทศ แล้วก็เอามา analyse ใหม่ ตามหลักจริงๆที่มัน
ควรจะเป็น อย่าหาว่ากระแดะไม่อ่านของคนไทย แต่คนไทยมักไม่ให้ข้อมูลเบื้องลึกตามหลักเหตุ
และผล ได้แต่บอกให้ทำอย่างนี้ๆ แล้วถ้าไม่ได้ทำตามบ่อยๆมันก็ลืมค่ะ เวลาจำ ใช้จำด้วยเหตุ
ผลดีกว่าจะไม่มีวันลืมเลย
"
เหตุผลและความแตกต่างของเนื้อครีมบำรุง "
Q :
ทำไมต้องรู้ว่าควรใช้อะไรก่อนหลัง
A : ก็เพราะว่าการใช้ครีมโปะๆเข้าไปมั่วๆ โดยที่ไม่มีลำดับก่อนหลัง มันจะลดประสิทธิภาพของ
การบำรุงผิวเรา เช่น จากที่ครีมบำรุงตัวหนึ่งที่ให้ผล 100% แต่คุณใช้ผิดขั้นตอน มันอาจจะ
ทำงานได้แค่ 50% เพราะอีกตัวอาจไปขัดขวางการดูดซึม Active Ingredient ของครีม
อีกตัวหนึ่งนั่นเอง
Q : เหตุผลง่ายๆที่ทำให้เราต้องมีลำดับของการใช้ครีมบำรุงผิว A : เพราะเนื้อของสาร (Texture) ที่นำมาบำรุงผิวหน้าของคุณไม่ว่าจะอยู่ในรูปครีม (Cream)
โลชั่น (Lotion) ซีรั่ม (Serum) เจล (Gel) หรือ ฟลูอิด (Fluid/Fluide) นั้นมีสูตร
ส่วนผสม (Formula) ที่ต่างกันค่ะ ซึ่งจะส่งผลให้ Skincare มีเนื้อครีมต่างกันนั่นเอง
และส่งผลโดยตรงต่อการดูดซึมเข้าไปในชั้นผิวของเราได้ยากง่ายต่างกัน
Q : ความแตกต่างของ ครีม (Cream) โลชั่น (Lotion) ซีรั่ม (Serum) เจล (Gel) และ
ฟลูอิด (Fluid/Fluide) คืออะไร
A : Definitions ที่แน่นอนของคำพวกนี้ ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางยึดถือเอาเป็นหลักไม่
ค่อยได้เลยค่ะ เพราะส่วนมากโฆษณาเกินจริงและไม่ตรงตามคุณสมบัติจริงๆของครีมเท่าไหร่
เล่นคำไปเรื่อย แต่ถ้าใช้ความหมายตามการผลิต (เภสัชและนักเคมีรู้ดี) ก็จะแยกได้ง่ายกว่าค่ะ
ความแตกต่างจริงๆเลยของเนื้อครีมแต่ละ form เราอธิบายง่ายๆ แบบนี้ดีกว่าค่ะ
A : ก็เพราะว่าการใช้ครีมโปะๆเข้าไปมั่วๆ โดยที่ไม่มีลำดับก่อนหลัง มันจะลดประสิทธิภาพของ
การบำรุงผิวเรา เช่น จากที่ครีมบำรุงตัวหนึ่งที่ให้ผล 100% แต่คุณใช้ผิดขั้นตอน มันอาจจะ
ทำงานได้แค่ 50% เพราะอีกตัวอาจไปขัดขวางการดูดซึม Active Ingredient ของครีม
อีกตัวหนึ่งนั่นเอง
Q : เหตุผลง่ายๆที่ทำให้เราต้องมีลำดับของการใช้ครีมบำรุงผิว A : เพราะเนื้อของสาร (Texture) ที่นำมาบำรุงผิวหน้าของคุณไม่ว่าจะอยู่ในรูปครีม (Cream)
โลชั่น (Lotion) ซีรั่ม (Serum) เจล (Gel) หรือ ฟลูอิด (Fluid/Fluide) นั้นมีสูตร
ส่วนผสม (Formula) ที่ต่างกันค่ะ ซึ่งจะส่งผลให้ Skincare มีเนื้อครีมต่างกันนั่นเอง
และส่งผลโดยตรงต่อการดูดซึมเข้าไปในชั้นผิวของเราได้ยากง่ายต่างกัน
Q : ความแตกต่างของ ครีม (Cream) โลชั่น (Lotion) ซีรั่ม (Serum) เจล (Gel) และ
ฟลูอิด (Fluid/Fluide) คืออะไร
A : Definitions ที่แน่นอนของคำพวกนี้ ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางยึดถือเอาเป็นหลักไม่
ค่อยได้เลยค่ะ เพราะส่วนมากโฆษณาเกินจริงและไม่ตรงตามคุณสมบัติจริงๆของครีมเท่าไหร่
เล่นคำไปเรื่อย แต่ถ้าใช้ความหมายตามการผลิต (เภสัชและนักเคมีรู้ดี) ก็จะแยกได้ง่ายกว่าค่ะ
ความแตกต่างจริงๆเลยของเนื้อครีมแต่ละ form เราอธิบายง่ายๆ แบบนี้ดีกว่าค่ะ
ครีม (Cream) : หลักของครีมจริงๆคือการผสมน้ำมัน
(oil) ให้
เข้ากับน้ำ (water) สมัยก่อนคนนำมาใช้เพื่อบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
อยู่เสมอ แต่เดี่ยวนี้เพิ่มเติมส่วนผสมเพื่อความงามเข้าไปอีกมาก
แต่ไม่ใช่แค่เค้าเอาแค่น้ำผสมน้ำมันแล้วมันได้ครีมนะคะ ส่วน
ผสมของการทำครีมเครื่องสำอางจริงๆมีอีกเยอะมาก ความเข้ม
ข้นของเนื้อครีมจะมากที่สุด เนื้อหนักที่สุด ดูดซึมเข้าไปในผิว
ได้ช้าที่สุด ใบบรรดารูปแบบ (body form) ทั้งหมดที่โชว์อยู่
ในคำถามข้างต้น นอกจากนี้ก็ยังสามารถใส่วิตามิน
หรือ Active Ingredients ต่างๆที่คิดว่ามันเป็นประโยชน์
กับผิวเข้าไปได้อีกด้วย ดังนั้น Skin care ในรูปแบบ "ครีม"
จึงเหมาะกับคนผิวแห้ง ถึงผิวธรรมดามากที่สุด ถ้าคนที่มีผิวมัน
น้ำมันออกทั้งวันอยู่แล้ว ใช้ครีมเข้าไปอีก ก็เท่ากับไปส่งเสริม
ให้หน้ามันเยิ้มเข้าไปอีก
เข้ากับน้ำ (water) สมัยก่อนคนนำมาใช้เพื่อบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
อยู่เสมอ แต่เดี่ยวนี้เพิ่มเติมส่วนผสมเพื่อความงามเข้าไปอีกมาก
แต่ไม่ใช่แค่เค้าเอาแค่น้ำผสมน้ำมันแล้วมันได้ครีมนะคะ ส่วน
ผสมของการทำครีมเครื่องสำอางจริงๆมีอีกเยอะมาก ความเข้ม
ข้นของเนื้อครีมจะมากที่สุด เนื้อหนักที่สุด ดูดซึมเข้าไปในผิว
ได้ช้าที่สุด ใบบรรดารูปแบบ (body form) ทั้งหมดที่โชว์อยู่
ในคำถามข้างต้น นอกจากนี้ก็ยังสามารถใส่วิตามิน
หรือ Active Ingredients ต่างๆที่คิดว่ามันเป็นประโยชน์
กับผิวเข้าไปได้อีกด้วย ดังนั้น Skin care ในรูปแบบ "ครีม"
จึงเหมาะกับคนผิวแห้ง ถึงผิวธรรมดามากที่สุด ถ้าคนที่มีผิวมัน
น้ำมันออกทั้งวันอยู่แล้ว ใช้ครีมเข้าไปอีก ก็เท่ากับไปส่งเสริม
ให้หน้ามันเยิ้มเข้าไปอีก
โลชั่น (Lotion) : เป็นอีกรูปหนึ่งที่มีเนื้อใกล้เคียงกับครีมมาก
แต่เนื้อที่เราเรียกว่าโลชั่นนั้นจะเบากว่า ความหมายว่าเบากว่าคือ
ไม่เหนอะ หรือหนืดเท่าครีม เพราะ Formula ของLotion
มี % Water มากกว่า ซึ่งเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งของคนที่
มีผิวผสม หรือผิวมัน แต่สำหรับคนผิวมันแล้ว ใช้อะไรก็มันอยู่
ดีแหละค่ะ ส่วนสาร Active Ingredients อื่นๆก็สามารถ
ใส่เพิ่มเติมเข้าไปได้ ใส่วิตามินมากหน่อยก็บอกว่าตัวนี้เป็น
โลชั่นทาหน้า เอามาขายแพงๆได้ ใส่น้อยหน่อยก็เป็นโลชั่น
ทาตัวซะ ประมาณนี้ค่ะ
มอเจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) : ไม่ได้เป็นรูปแบบเนื้อ
ของ Skin care แต่คนมักนำมาเรียกรวมๆ พวกครีม หรือโลชั่น
ที่ทาแล้วให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ว่า "Moisturizer" เท่านั้นเองค่ะ
เวลาไปซื้อครีมบำรุงผิว คนขายบอก "ต้องใช้ Serum ก่อนแล้ว
ค่อยลง Moisturizer ก็ไม่ต้องงงนะคะ" เค้าแค่จะบอกคุณว่า
จะทา ครีม หรือโลชั่น ตามหลังจากนี้ก็ได้
ซีรั่ม (Serum) : ฟังดูแล้วท่าจะแพงและดีกว่าคนอื่นเค้า
มันเป็น perception ของคนทั่วไปที่คิดแบบนั้นจริงๆค่ะ
เพราะ serum คือความตั้งใจของบริษัทผลิตเครื่องสำอาง
ที่ต้องการทำ product ที่มีความเข้มข้นของ Active
Ingredients สูงๆขึ้นมาโดยเฉพาะ เนื่องจากการทำงาน
ของ Active Ingredients จะแสดงผลัพธ์ให้เห็นความแตก
ต่างมากกว่า ในระยะเวลาที่เท่ากัน ตัวอย่างเช่นใน 1 หยด
ของ Vitamin C Serum อาจจะมี% Vitamin C เท่ากับโลชั่น
ที่คุณเทลงบน 1 ฝ่ามือเต็มๆก็ได้ ส่วนมาก ซีรัมมักจะทำแบบใส
(แต่ไม่ทั้งหมด) และมีเนื้อเบา ซึมเร็วและนำพาแร่ธาตุ วิตามิน
ไปในผิวได้ง่ายกว่า เพราะเป็น water based product (มีน้ำ
เป็น medium ไม่ใช่แบบครีมหรือโลชั่น) ดังนั้นก็ไม่ต้องแปลก
ใจที่ว่าทำไม Serum ถึงมีราคาแพงในปริมาตรแค่นิดเดียว
เจล (Gel) : ฟังดูแปลกๆมีเครื่องสำอางหรือ Skin care ที่เป็น
เจลด้วยเหรอ มีเหมือนกันค่ะ ไม่ใช่เฉพาะเอามาเป็น Hair
Care เท่านั้น เพราะผู้ผลิตต้องการเอาคุณสมบัติ water
absorbent มาใช้ประโยชน์นั่นเอง เจลเป็นสาร
ประเภท polymer ที่มีโครงสร้างกักเก็บอุ้มน้ำไว้ได้เยอะมาก ที่
จะพบเห็นส่วนมากก็คือพวก eye gel ทั้งหลาย เพราะต้องการ
ใช้ผิวบริเวณใต้ดวงตาได้รับวิตามินเต็มที่ และมีความชุ่มชื้น
นานๆ
ฟลูอิด (Fluid/Fluide) หรือ เอสเซ้นส์ (Essence) : ความ
หมายนัยคือ Serum นั่นเอง เนื้อและส่วนผสมจะเข้มข้น
ด้วย Active Ingredient มากกว่าและเป็น water based
เนื้อจะเบา ซึมเร็ว แต่มักจะไม่ใส อันนี้จากข้อสังเกตส่วนตัวนะ
คะ ยกตัวอย่างดีกว่า เช่นBiotherm - source thérapie
Superactiv ตัวนี้ก็เรียกได้ทั้ง Serum และ Fluid
หรือ Lancome- BLANC EXPERT NeuroWhite™ ANTI-
DARK CIRCLES EYE TREATMENT ที่เรียกตัวเอง
ว่า Essence แต่ Makeup มักจะใช้ Fluid กับพวก
Foundations เพื่อต้องการจะเน้นบอกว่ามันไหลตัวดี ไม่หนืด
และเกลี่ยง่าย ไม่ได้บอกว่าtexture ขุ่นหรือใส
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก http://www.cosmenet.in.th
ฝากติดตามผลงานด้วยนะคะ มีอะไรไปเม้าส์กันได้ที่เพจ เฟสบุ๊คนะคะ
Click ที่ Logo เพื่อเข้าสู่ช่องทางที่คุณต้องการ
ไม่มีความคิดเห็น